วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บุคลากรทางการศึกษา

                           

                    บุคลากรทางการศึกษา
             ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นบุคลากรของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในราชการไทย ในอดีตมีชื่อเรียกว่า "ข้าราชการครู" ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการครูที่สังกัดการปกครองส่วนท้องถิ่นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าราชการครูองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานครูเทศบาล พนักงานครูองค์การบริหารส่วนตำบล ปัจจุบันมี 3 ประเภท

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กลอนแห่งความรัก



กลอนแห่งความรัก

ไม่ต้องบอกอะไรที่ใจเจ็บ
ไม่ต้องเก็บ อะไรซ่อนให้หา
ไม่ต้องกลัวอะไรที่ผ่านมา
ไม่ต้องหวั่นแม้ว่าสิ่งน่า กลัว

ไม่ต้องบอกสิ่งฝันเคยผันผ่าน
ไม่ต้องบอกเคยหวานสะท้านทั่ว
ไม่ ต้องบอกใครทำช้ำหมดตัว
ไม่ต้องบอกใครชั่วทำร้ายเธอ

แค่เธอรู้ยัง มีฉันนี้อยู่
ยืนเคียงคู่สร้างฝันทุกวันเสมอ
ไม่ว่าฝันรวดร้าวที่เธอ เจอ
สิ่งพลาดเผลอยังมีฉันนี้เคียง

เพราะฉันพร้อมจะอยู่ดูแลเธอ
แม้น ต้องเจออะไรร้อยร้ายเสี่ยง
ทำเพื่อเธอคนเดียวแค่ขอเพียง
ได้ยินเสียง เธอบอกว่ารักฉัน!

บท ส่งใจ
"ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร
จะผ่านอะไรมา
ขอจงอย่าเป็นกังวล
นี่คือคนของเธอ
เป็นคนที่รักเธอ ..ตลอดไป "







ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กลอนวันแห่งความรักผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กลอนวันแห่งความรัก






ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กลอนวันแห่งความรัก









                 สื่อการสอนภาษาไทย เรื่อง การสะกดคำ

1. สื่อการสอนวิชาภาษาไทย เรื่อง การเขียนสะกดคา ( Spelling Correcting )
2. หลักการเขียนสะกดคา 1. การเขียนคาผิดเพราะคาเหล่านั้นออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายคน ละอย่างและเขียนต่างกัน ทาให้ผู้ใช้ภาษามักสับสนและใช้คาปนกัน เพราะจาความหมาย ของคาที่ต้องการเขียนไม่ได้ เช่น คาว่า ขั้น และ คั่น สิน " สินธุ์ ฉัน " ฉันท์ พัน " พันธุ์ 2. ค าที่ อ อกเสี ย งต่ า งกั น เพี ย งเล็ ก น้ อ ย และมี ค วามหมายต่ า งกั น ไม่ ม ากนั ก หากไม่ ระมัดระวัง ก็อาจเกิดปัญหาในการเขียนได้ เช่น คาว่า ราด และ ลาด รัก " ลัก
3. 3. เขียนผิดเพราะไม่รู้หลักเกณฑ์ในการเขียน เช่น ไม่รู้หลักการใช้ ณ-น หลักการประ- วิสรรชนีย์และไม่ประวิสรรชนีย์ หรือการใช้ ใอ และไอ เป็นต้น 4. ใช้ แ นวเที ย บผิ ด เช่ น ค าว่ า ญาติ และอนุ ญ าต สั ญ ชาติ และ สัญชาตญาณ บุคคล และบุคลิก เป็นต้น 5. เขียนผิดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในการเขียน แต่ผู้เขียนติด รูปเดิมของคาบางคา เช่น คาว่า พงศ์ เดิมใช้ ษ์ ปัจจุบันใช้ ศ์ คาว่า เบียดเบียน เคย ใช้ ฬ สะกด คือเขียน เบียดเบียฬ
4. 6. คาบางคามีความหมายอย่างเดียวกัน ออกเสียงเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่เขียนต่างกัน คาเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีความหมายอย่างเดียวกันแต่มีที่ใช้ต่างกัน ผู้ใช้ ภาษาต้องรู้ว่า เมื่อใดจะใช้รูปใด คือรู้ว่าจะเขียนรูปใดในคาแวดล้อมอย่างใด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความนิยมของสังคม เช่น คาว่า ศูนย์ และ สูญ มารยาท " มรรยาท ภริยา " ภรรยา วิชา " วิทยา
5. 7. คาบางคาเขียนได้มากกว่า 1 รูป เช่น กรรไกร อาจจะใช้ว่า กรรไกร กรรไตร หรือตะไกร ก็ได้ คาว่า ระบัด ระบบ ระบือ ระลอก อาจใช้ ละ และ ระ ได้ดังนี้ ละบัด ละบือ และละลอก ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาควรจะรู้จักการเขียนทุกๆ รูป เพื่อจะได้ไม่ทึกทักว่าคนอื่นใช้ ผิด เพราะใช้รูปผิดไปจากที่เราใช้ 8. เขียนผิดเพราะเขียนตามเสียงอ่าน เช่น ปรารถนา ออกเสียงว่า ปราด-ถะ-หนา มักเขียนผิดเป็น ปราถนา ศีรษะ " สี-สะ มักเขียนผิดเป็น ศรีษะ
6. หลักการเขียนคาสมาส คาสมาสซึ่งเกิดจากการนาคาบาลีกับบาลี หรือคาบาลีกับสันสกฤต หรือ สันสกฤตกับสันสกฤต มารวมกันเพื่อสร้างคาใหม่ในภาษา เช่น วิสาขะ (บาลี) + บูชา (บาลี) = วิสาขบูชา ศัลยะ (สันสกฤต) + กรรม (สันสกฤต) = ศัลยกรรม กิตติ (บาลี) + ศัพท์ (สันสกฤต) = กิตติศัพท์ การเขียนคาสมาสจึงมีหลัก ดังนี้ 1. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคาแรกมีประวิสรรชนีย์ (ะ) เวลาเขียนให้ตัด ออก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ อิสรภาพ ธนสมบัติ ศิลปศาสตร์ พันธกิจ รัตนโกสินทร์ ภารกิจ ศิลปกรรม พลศึกษา คณบดี กาญจนบุรี
7. 2. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคาแรกของคาสมาสมีเครื่องหมายทัณฑฆาต ( ์ ) เวลาเขียนให้ตัดออก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ทรัพยสิทธิ ครุศาสตรบัณฑิต แพทยศาสตร์ มนุษยชาติ ไปรษณียภัณฑ์ สัมพันธภาพ อนุรักษนิยม
8. หลักการเขียนคาที่ออกเสียง อะ การเขียนคาที่ออกเสียง อะ เขียนได้ 2 วิธี คือ ประวิสรรชนีย์ เช่น สะดวก สะอาด และไม่ประวิสรรชนีย์ เช่น ตวาด ชอุ่ม สบู่ เป็นต้น คาที่ประวิสรรชนีย์มีหลัก ในการสังเกต ดังนี้ 1. คาไทยแท้ทุกคาที่ออกเสียง อะ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น กะทิ กระพรวน กระทะ ปะขาว ทะนง ทะนาน มะลิ กระชับ ตะแคง ชะลอ ละไม คะมา ตะโกน ขยะ ขะมุกขะมอม 2. คาซึ่งเกิดจากการกร่อนเสียงมาเป็นเสียง อะ ให้ประวิสรรชนีย์ ดังนี้ 2.1 กร่อนเสียงจาก ต้น เป็น ตะ เช่น ต้นเคียน เป็น ตะเคียน ต้นไคร้เป็น ตะไคร้ ต้นแบก เป็น ตะแบก ต้นคร้อ เป็น ตะคร้อ
9. 2.4 คา 2 พยางค์ อื่น ๆ ซึ่งเกิดจากการกร่อนเสียงก็ให้ประวิสรรชนีย์ทั้งสิ้น เช่น ตะปู (ตาปู) ตะวัน (ตาวัน) สะดือ (สายดือ) สะใภ้ (สาวใภ้) ฉะนั้น (ฉันนั้น) ฉะนี้ (ฉันนี้) นอกจากนี้คากร่อนจากคาซ้า (อัพภาส) เป็นเสียงอะในคาแรก ซึ่งเป็นคาซ้า ในคาประพันธ์ ให้ประวิสรรชนีย์ เช่น ยะยิบ (ยิบยิบ) ระเรื่อย (เรื่อยเรื่อย) ระรัว (รัว รัว) ฯลฯ 2.5 คาที่มี 3 พยางค์ ซึ่งออกเสียง อะ ในพยางค์ที่ 2 มักประวิสรรชนีย์ เช่น รัดประคด บาดทะยัก เจียระไน สับปะรด คุดทะราด เป็นต้น 2.6 คาที่ยืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ถ้าออกเสียงอะที่พยางค์ท้ายของคา ให้ ป ระวิ ส รรชนี ย์ ที่ พ ยางค์ ท้ า ยของค านั้ น เช่ น สาธารณะ ลั ก ษณะ สรณะ อิ ส ระ สัมปชัญญะ พละ อักขระ ภาชนะ ฯลฯ
10. ตัวอย่างคาที่ประวิสรรชนีย์ ได้แก่ ชะตา ชะงัก สะคราญ ทะนง คะนึง สะอื้น สะดุด สับปะรด สะอาด สะพาน ชะล่า สะกด จะละเม็ด ฉะนั้น มักกะสัน ประณีต พะทามะรง สะเพร่า สะพัด สะบัด สะระตะ สะระแหน่ สะอิดสะเอียน สะลึมสะลือ จระเข้ สะตอ ตะลีตะลาน ตะลุมบอน ตะขิดตะขวง ชะรอย ซังกะตาย ธุระ ศิลปะ อารยะ สัจจะ ละเอียด รามะนาด อังกะลุง ตัวอย่างคาที่ไม่ประวิสรรชนีย์ ได้แก่ อารยธรรม ศิ ล ปกรรม ธุ ร กิ จ คณบดี อิ ส รภาพ ปิ ย มหาราช พลศึ ก ษา อาชีวศึกษา จริต จรุง ลออ สบาย สูบ่ ขมา ปรัมปรา พนัน ทมิฬ ตวัด ฉบับ ฉบัง ฉมัง ฉวั ด เฉวี ย น สลั ว สลอน สลอด สลวย สลั ก สราญ สลุ ต สว่ า น เสนาะ อหั ง การ อสรพิษ ทวาร ฉลาด ถวิล ชโลม
11. หลักการเขียนคาที่ใช้ ใอ, ไอ, อัย, ไอย 1. คาที่ใช้สระ ใอ (ไม้ม้วน) แต่โบราณกาหนดว่าคาไทยแท้เพียง ๒๐ คาเท่านั้น ที่เขียนด้วยสระ ใ ดังที่โบราณาจารย์ผูกไว้เป็นคาประพันธ์เพื่อช่วยความจา ดังนี้ ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู จักใคร่ลงเรือใบ ดูน้าใสและปลาปู สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจาจงดี ปัจจุบันมีคาที่ใช้สระ ใ เพิ่มขึ้น ได้แก่ หมาใน เหล็กใน เยื่อใย ใยบัว ใยแมงมุม
12. 2. คาที่ใช้สระ ไอ (ไม้มลาย) มีหลักการใช้ ดังนี้ 2.1 ใช้กับคาไทยทั่วไปนอกจากคาที่ใช้สระ ใ (ไม้ม้วน) 20 คา 2.2 ใช้กับคาที่แผลงจากคาเดิมที่เขียนด้วย สระ อิ อี และ เอ ใน ภาษาบาลี สันสกฤต เช่น ระวิ แผลงเป็น ราไพ วิจิตร แผลงเป็น ไพจิตร ตริ " ไตร วิหาร " ไพหาร 2.3 ใช้กับคาที่ยืมมาจากคาต่างประเทศทุกภาษา เช่น ไอศกรีม ไมล์ สไลด์ ไวโอลิน ไต้ฝุ่น ไผท อะไหล่ ฯลฯ ตัวอย่างคาที่ใช้สระ ไอ (ไม้มลาย) ได้แก่ ไจไหม ร้องไห้ ไนกรอด้าย ปลาไน เสือกไส ไสไม้ ตะไคร่ ตะไคร้ ใส่ไคล้ ไยไพ ไยดี ลาไย หยากไย่ สลัดได เหลวไหล น้า ไหล จุดไต้ ตะไบ ลาไส้ ไขกุญแจ ไดโนเสาร์
13. 3. คาที่ใช้สระ อัย (อัย) ใช้กับคาที่ยืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ซึ่งเดิมออก เสียง อะ และมี ย ตามหลังเท่านั้น เช่น ชย ไทยใช้ ชัย ภย ไทยใช้ ภัย อาลย " อาลัย อุทย " อุทัย อภย " อภัย นย " นัย 4. คาที่ใช้สระ ไอย (ไอย) ใช้กับคายืมจากภาษาบาลี - สันสกฤต ที่คาเดิมเป็น เสียง เอยย และ เอย เท่านั้น เช่น เวเนยย ไทยใช้ เวไนย (เวไนยสัตว์) อสังเขยย ไทยใช้ อสังไขย อธิปเตยย " อธิปไตย เทยยทาน " ไทยทาน
14. หลักการเขียนคาที่ใช้ ศ ,ษ และ ส การใช้พยัญชนะเสียง /สอ/ ในภาษาไทยมีหลักเกณฑ์การเขียน ดังนี้ 1. คาไทยแท้ทั่วไปนิยมเขียนด้วย ส เช่น เสื้อ เสือ สดใส เสียม เป็นต้น ยกเว้น คาไทย และคายืมบางคาที่เขียนมาแต่โบราณใช้ ศ และ ษ บ้าง จึงยังคงใช้รูปเขียน เหล่านั้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ศ : ศอ ศอก เศิก ศึก เศร้า บาราศ ปราศจาก ฝรั่งเศส เลิศ ไอศกรีม ษ : กระดาษ โจษจัน ดาษดา ดาษดื่น ฝีดาษ เดียรดาษ อังกฤษ 2. คาที่มาจากภาษาบาลีใช้ ส ทั้งหมด เช่น พระสงฆ์ มเหสี สัจจะ รังสี สิริ โสภา สโมสร สาธิต สุสาน สาวก ฯลฯ
15. 3. คาที่มาจากภาษาสันสกฤต มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 3.1 พยัญชนะ ศ เขียนหน้าพยัญชนะวรรค จะ และ หน้าพยัญชนะเศษวรรค บางรูป ดังนี้ 3.1.1 เขียนหน้าพยัญชนะวรรค จะ เช่น พฤศจิกายน อัศจรรย์ อัศเจรีย์ 3.1.2 เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรค เช่น เทเวศร พิฆเนศวร์ แพศยา โศลก อัศวิน อาศรม 3.2 พยัญชนะ ษ ใช้เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ฏะ และ หน้าพยัญชนะวรรค อื่น และพยัญชนะเศษวรรคบางรูปได้ ดังนี้ 3.2.1 เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ฏะ เช่น กนิษฐา โฆษณา ดุษฎี ราษฎร 3.2.2 เขียนหน้าพยัญชนะวรรคอื่น เช่น เกษตร บุษกร บุษบก บุษบา 3.2.3 เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรคบางรูป เช่น บุษยา ศิษย์ บุษยมาส
16. 3.3 พยัญชนะ ส ใช้เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ตะ และพยัญชนะเศษวรรค บางรูปได้ ดังนี้ 3.3.1 เขียนหน้าพยัญชนะวรรค ตะ เช่น พัสดุ พิสดาร ภัสดา วาสนา สถาน สัสดี สวัสดี สตรี อัสดง 3.3.2 เขียนหน้าพยัญชนะเศษวรรค เช่น ประภัสสร มัสลิน สุรัสวดี
17. คาพ้องเสียง คือ คาที่ออกเสียงเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน และมีความหมาย แตกต่างกันด้วย การเขียนคาพ้องเสียงจึงอยู่ที่การสังเกตและจดจาความหมายของคา เป็นหลัก คาพ้องเสียงในภาษาไทยมีอยู่เป็นจานวนมาก จึงยกตัวอย่างมาเป็นเครื่อง สังเกต ดังนี้ • /กาน/ เมืองกาญจน์ กานไม้(ตัดไม้) กิจการ แถลงการณ์ ประสบการณ์ ฤดูกาล กาฬ โรค มหากาฬ กลอนกานท์(บทกลอน)
18. • • • • • /เกียด/ มีเกียรติ เกียรติยศ รังเกียจ ขี้เกียจ เกียจคร้าน เกียดกัน /สูด/ สูดดม สูตรคูณ ชันสูตร พหูสูต พิสูจน์ /น่า/ หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าต่างน่ารัก น่ายกย่อง น่ากิน /โจด/ โจทก์จาเลย โจทย์เลข พูดโจษ โจษขาน /พัน/ พันผ้า ผูกพัน ละครพันทาง บทประพันธ์ ผิวพรรณ เผ่าพันธุ์ พรรณนา กรรมพันธุ์ ผลิตภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ พรรดึก ภรรยา
19. • • • • • /มุก/ ไข่มุก หน้ามุข ประมุข มุกดา /เพด/ อาเพศ เพศชาย ลักเพศ เบญจเพส สมเพช ประเภท สามัคคีเภท /ขัน/ ขันน้า ขันธ์๕ ประจวบคีรีขันธ์ พระขรรค์ เขตขันฑ์ ขัณฑสกร แข่งขัน ขาขัน /นาด/ ระนาด นวยนาด สีหนาท นาถ(ที่พึ่ง) วรนาถ นงนาฏ นาฏศิลป์ พินาศ /ดิด/ บัณฑิต ประดิษฐ์ ประดิดประดอย อุตรดิตถ์ กาญจนดิษฐ์(ชื่ออาเภอ)
20. คาที่มักเขียนผิด การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ไทย เป็นสิ่งจาเป็นพื้นฐานที่ คนไทยทุกคนต้องเรียนรู้ ถ้าเกิดเป็นคนไทยแล้วเขียนภาษาไทยไม่ถูกต้อง นับว่าเป็นสิ่งที่ น่าละอายและถือเป็นการทาลายวัฒนธรรมทางภาษาของชาติอีกด้วย ดังนั้นเราจึงต้อง สร้างความตระหนักในการเขียนภาษาไทยทุกครั้งให้ถูกต้อง ถ้าไม่ทราบก็ควรถามผู้รู้หรือ ค้นหาจากพจนานุกรม ไม่ควรเขียนตามใจชอบ หรือ ”ดาน้า” เขียน เพราะไม่เห็น ความสาคัญ ในที่นี้จะรวบรวมคาที่มักเขียนผิดที่พบเห็นบ่อย ๆ ดังนี้ 1. กฎ, กฎหมาย สะกดด้วย ฎ แต่มักเขียนเป็นตัว ฏ 2. ปรากฏการณ์ สะกดด้วย ฏ แต่มักเขียนเป็นตัว ฎ 3. กรวดน้า (แผ่ส่วนบุญด้วยวิธีหลั่งน้า) มักเขียนเป็น ตรวจน้า 4. กระจิริด (เล็กน้อย) มักเขียนเป็น กระจิ๊ดริด 5. กระจุกกระจิก (เล็ก ๆ น้อย ๆ คละกัน) มักเขียนเป็น กะจุกกะจิก

21. 6. ขึ้นฉ่าย (ผักชนิดหนึ่ง) มักเขียนเป็น คึ่นไช่ 7. เข็ญใจ (ยากจนข้นแค้น) มักเขียนเป็น เข็นใจ 8. คงกระพัน (ทนทานต่อศาสตราวุธ) มักเขียนเป็น คงกะพัน 9. คนโท (หม้อน้า) มักเขียนเป็น คนโฑ 10. คลินิก (สถานพยาบาล) มักเขียนเป็น คลินิค 11. เจตคติ (ท่าทีหรือความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) มักเขียนเป็น เจตนคติ 12. ฉันมิตร (เป็นเพื่อน) มักเขียนเป็น ฉันท์มิตร 13. ช็อก (สลบแน่นิ่งโดยกระทันหัน) มักเขียนเป็น ช็อค 14. เชิ้ต (เสื้อคอปกแบบหนึ่ง) มักเขียนเป็น เชิ๊ต 15. ซอส (เครื่องปรุงรส) มักเขียนเป็น ซ้อส




















เทคนิคสอนภาษาไทยให้สนุก


เทคนิคการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้สนุก
เรียนรู้ภาษาไทยให้สนุก...
         ฝึกคำกับสระ เมื่อเช้าเก็บมะเขือ ลงใส่เรือเตรียมไปขาย เรือนี้นั่งสบาย เรือเมื่อพายไปคล่องดี วันนี้ใส่เสื้อสวย แล้วรีบฉวยเสื่อม้วนนี้ ลงเรือในทันที ช่างโชคดีที่ลงเรือ                             
ภาษาไทยนอกจากเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติแล้วยังเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและแสวงหาความรู้ตลอดชีวิต แต่ปัจจุบันยังพบปัญหาเกี่ยวกับการอ่านการเขียนของเด็กระดับประถมศึกษา  คือ อ่านไม่คล่อง  เขียนไม่คล่อง ที่ร้ายแรงกว่านั้นเด็กไม่สามารถอ่านออกเขียนได้สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเด็กไม่สนุกต่อการเรียนรู้มีความทุกข์เมื่อถึงเวลาเรียนเพราะรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นเรื่องที่ยากต่อการเรียนดังนั้นจึงได้จัดทำเอกสารเรียนรู้ภาษาไทยให้สนุกระดับประถมศึกษาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการฝึหลากหลายวิธี  แบบเล่นปนเรียน  ซึ่งเด็กระดับประถมศึกษายังชอบการเล่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้จังหวะเสียงเพลง เป็นส่วนหนึ่งที่เด็กจะเกิดความสุขในการเรียนผู้เรียบเรียงเอกสารได้นำมาใช้สอดแทรกในการฝึกอันจะทำให้การเรียนรู้น่าสนใจยิ่งขึ้น

ขั้นตอนสอนภาษาไทยให้สนุก  
        บันได 8 ขั้น จะเริ่มจาก "การปลุกเร้ากระบวนการคิด" โดยใช้คำถามนำให้เด็กเกิดความสนใจ และ "ชี้ให้เห็นความสำคัญ" ของเนื้อหาที่จะเรียนว่าสำคัญต่อชีวิตอย่างไร เช่น การเรียนบทประพันธ์นั้น จะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้อย่างไร และปล่อยให้เด็กๆ คิดตามถึงคุณประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เห็นความสำคัญ และอยากที่จะเรียน   
"หลากหลายแบบฝึกหัด" เป็นภาคปฏิบัติที่จะให้เด็กเริ่มแต่งกลอนแปด และจะย้ำให้ได้ฝึกทักษะซ้ำๆ พร้อมกับเสริมแรงกระตุ้นด้วยการให้รางวัลต่างๆ ในการฝึกทักษะนี้ครูต้องพิจารณาให้งานตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน ถ้าคนไหนแต่งกลอนแปดไม่ได้ ให้แต่งกาพย์ยานี หรือกลอนสี่ จะคิดเสมอว่าอย่าบังคับให้เด็กต้องตามทันเพื่อนคนอื่น และอย่าคาดหวังว่าเด็กจะทำตามเป้าหมายเดียวกันได้ทุกคน ดังนั้นเป้าหมายจึงต้องเปลี่ยนไปตามความพร้อมและความสามารถของเด็กแต่ละคน
"ฉายความชำนาญ" เป็นการให้นักเรียนสร้างชิ้นงานที่ใหญ่ขึ้น เช่น แต่งบทประพันธ์ คำกลอนและรวบรวมให้เป็นหนังสือ นิทาน คำขวัญเมืองสุพรรณ โดยบูรณาการวิชาศิลปะ งานประดิษฐ์ให้ออกเป็นมาในรูปแฟ้มสะสมผลงานตามด้วย "นำเสนองานที่สร้างสรรค์" ให้เด็กๆ อธิบายกระบวนการจัดทำได้ออกมาเป็นผลงาน เมื่อเรียบร้อยจึงเข้าสู่”ขั้นตอนการประเมิน”ซึ่งต้องประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งการประเมินตนเอง การประเมินจากกลุ่มเพื่อน และรับผลประเมินจากครู สุดท้ายก็รวบร่วมผลงานนักเรียนทุกคนออกแสดง ในรูปของนิทรรศการต่างๆ
“ระหว่างสอนควรสร้างบรรยากาศในห้องเรียน ครูต้องทำตัวให้ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ที่สำคัญไม่เลือกปฏิบัติ และให้ความเสมอภาคกับทุกคน สำหรับเทคนิคดีๆ ที่ใช้ได้ผล ว่า ครูจะไม่เอาบทเรียนเป็นตัวตั้งในการสอน แต่ใช้เด็กเป็นจุดศูนย์กลาง และดึงความรู้มาเกี่ยวพันกับชีวิตเด็กให้ได้ เคล็ดลับสำคัญคือ อย่าเอาการบ้านมาทำลายบรรยากาศในการเรียน และไม่จำเป็นต้องจ้ำจี้จ้ำไช ให้เด็กต้องส่งการบ้านทุกวัน เพราะจะทำให้เด็กเครียดจนไม่อยากมาเรียน ทั้งนี้คิดเสมอว่า เราสอนคนไม่ใช่สอนความรู้ ถ้าครูมุ่งสอนแต่เนื้อหาเด็กอาจจะไม่อยากเรียนได้ ครูจึงควรรู้ว่าเจตนารมณ์และเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาคือการให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข